ความชื้นที่เกิดภายในห้องนอน

ปัจจุบันประเทศไทย มีอุณหภูมิค่อนข้างสูง ซึ่งอยู่ในช่วง 38-42°C แต่เมื่อเราเดินเข้าไปในห้องหรือห้องนอนที่มีระบบเครื่องปรับอากาศ ห้องของเราจะมีอุณหภูมิที่ต่ำลง คืออยู่ในช่วง 20-27°C ตามแผนภูมิสภาวะสบายสำหรับผู้อยู่อาศัยที่ ผศ.ดร. พิมพ์เพ็ญ พรเฉลิมพงศ์ ได้เรียบเรียงและอธิบายไว้ ช่วงอุณหภูมิความชื้นสัมพัทธ์ในอากาศควรอยู่ระหว่าง 50-60%RH

อีกทั้งห้องนอนเป็นห้องที่คนส่วนมากใช้ในการนอนหลับพักผ่อนในเวลากลางคืนหรือหลังจากเลิกงาน มนุษย์เราใช้เวลาประมาณ 1 ส่วน 3 ของชีวิตอยู่ในห้องนอน

          ดังนั้นอุณหภูมิความชื้นสัมพัทธ์ในห้องนอนที่มีระดับความชื้นเป็นปกติจะทำให้ผู้อยู่อาศัยรู้สึกสบาย ส่งผลดีต่อสุขภาพร่างกาย แต่ถ้าในห้องนอนของเรามีความชื้นมากเกินไปอาจส่งผลเสียต่อสุขภาพและส่งผลเสียหายต่อเฟอร์นิเจอร์ภายในห้อง เนื่องจากมีเชื้อโรค เชื้อรา และเชื้อแบคทีเรียต่างๆ ที่เรามองไม่เห็นเติบโตได้ดีในสภาพอากาศชื้น ทำให้รู้สึกเหนียวตัวและเป็นสาเหตุของการเกิดโรคหอบหืด กรณีที่ความชื้นต่ำก็มีผลเสียไม่น้อย เช่น ทำให้ผิวแห้ง ปากแตก ระคายเคืองตา หายใจลำบาก รวมทั้งปวดบริเวณไซนัส

          ดังนั้น หากเราต้องการอากาศที่ดี Comfort Zone และ ต้องการหยุดการแผ่พันธุ์ของเชื้อโรค เชื้อรา และเชื้อแบคทีเรียต่างๆ เราต้องลดระดับความชื้นสัมพัทธ์ลงให้อยู่ในช่วง 50-60% นั้นหมายความว่าภายในห้องนอนที่มีการควบคุมความชื้นสัมพัทธ์ไม่เกิน 50-60% สามารถลดปริมาณไรฝุ่นและเชื้อราลงได้และเป็นไปตามมาตรฐานคุณภาพห้องห้องนอน

องค์กร ASHVE (American Society of Heating & Ventilating Engineers)            ได้สร้างแผนภูมิที่แสดงถึงช่วงสภาวะสบายสำหรับผู้อยู่อาศัยในประเทศสหรัฐอเมริกา ช่วงอุณหภูมิดังกล่าว คือ ความชื้นสัมพัทธ์ ในอากาศอยู่ระหว่าง 30% ถึง 70% ซึ่งเป็นช่วงที่ไม่ทำให้ผิวหนังแห้งหรือรู้สึกเหนียวตัวจนเกินไป กับอุณหภูมิกระเปาะ อยู่ในช่วง 18°c ถึง 29°c แต่ได้มีการนำไปปรับใช้ตามความเหมาะสมของแต่ละเขตพื้นที่และในมาตรฐานนี้ได้บงบอกถึงความสบายและปลอดภัยจากเชื้อโรคภายใต้ข้อกำหนดดังกล่าวจึงเป็นจุดเริ่มต้นให้กับทุกๆประเทศในโลก

• ถ้ากล่าวถึงช่วง Comfort Zone หรือช่วงความชื้นมาตรฐานความสบาย

     COMFORT ZONE โดยค่าความชื้นมาตรฐานหรือมาตรฐานความสบาย มันต้องขึ้นกับอุณหภูมิ ลมสัมผัสร่างกายด้วย ตัวอย่างตามกราฟที่เขาใช้อ้างอิง  แต่จริงๆก็แล้วแต่คนในแต่ละโซนในโลกอย่างคนอยู่ในโซน ( tropical zone ) จะรับความชื้นได้มากกว่าพวกคนที่อยู่โซนเหนือ temperate zone แต่เอาง่ายๆดูที่ความชื้นสัมพัทธ์ (ปริมาณน้ำในอากาศที่สัมพันธ์กับอุณหภูมิ) ที่ 40-60%RH คนเราจะรู้สึกสบายที่สุด

     หากห้องนอนที่เราอาศัยอยู่มีความชื้นต่ำ (อากาศแห้ง) ถ้าห้องมีความชื้นต่ำแรงดันไอน้ำก็จะต่ำ แหล่งความชื้นต่างๆจะระเหยออกได้ง่ายขึ้น อย่างคนเราจะมีน้ำในตัวก็จะถูกปล่อยความชื้นได้ง่ายขึ้นทั้งโพรงจมูกหรือใครอ้าปากคอก็จะแห้งง่ายขึ้น ใครเคยไปต่างประเทศหรือเมืองที่มีอากาศเย็น หรือหนาวมาก ๆ จะรับรู้ถึงความชื้นสัมพัทธ์ได้ แต่ปริมาณความชื้นหรือแรงดันไอน้ำต่ำมากๆ เราไม่คุ้นชินก็จะเกิดอาการแบบนั้นได้ ยิ่งไป โซนยุโรปตอนบนหรือยุโรปในตอนหน้าหนาวถึงกับต้องเติมน้ำในอ่างอาบน้ำ หรือบางที่ต้องขออ่างมาเติมน้ำตั้งไว้ข้างๆ ที่นอนกันเลย

     สำหรับในห้องแอร์ปิดตายไม่มีอากาศถ่ายเทเลย และมีการทำความเย็นตลอดเวลา เครื่องปรับอากาศจะเป็นตัวดึงความชื้นอากาศออกไปเรื่อย ๆ  ดูได้ที่ท่อน้ำทิ้งของแอร์ ห้องปรับอากาศจึงควรมีความสามารถถ่ายเทอากาศได้บ้างเพื่อช่วยเอาความชื้นมาเติมแต่สิ่งสำคัญมากกว่าคืออากาศใหม่ถ่ายเทเพื่ออ๊อกซิเจน

• ความชื้นทำให้บ้านเสื่อมโทรม และเป็นแหล่งสะสมของเชื้อโรค!

     ความชื้นภายในบ้านถือเป็นหนึ่งในปัญหาที่หลายหลังคาเรือน ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ ซึ่งสาเหตุที่ทำให้เกิดความชื้นมาจากสภาพอากาศภายนอก รวมถึงการใช้น้ำในการซักล้าง หรืออาบน้ำ ทำความสะอาดต่าง ๆ  ก็เป็นเหตุทำให้เกิดความชื้นภายในบ้านเช่นกัน และหากไม่รีบกำจัดความชื้นออกไป ก็อาจทำให้เกิดเชื้อจุลินทรีย์ต่างๆ ที่ส่งผลเสียต่อสุขภาพของคนในบ้าน เช่น ทำให้เป็นโรคภูมิแพ้ หรือหอบหืด

     ดังนั้น หากพบว่าภายในบ้านมีความชื้นที่ก่อตัวขึ้น ควนรีบทำการแก้ไขโดยด่วน เพราะหากปล่อยทิ้งไว้นอกจากจะทำให้คนในบ้านมีปัญหาเรื่องสุขภาพแล้ว ความชื้นก็มีส่วนทำให้ตัวบ้านเกิดการเสื่อมโทรม และเป็นแหล่งสะสมของเชื้อโรคเช่นกันกัน

วิธีไล่ความชื้นเพื่อป้องกันไม่ให้ความชื้น มาทำลายความสุขของคนในบ้าน

 1. ควรเลือกติดตั้งหน้าต่างที่มีช่องระบายอากาศ
     สามารถช่วยระบายอากาศภายในบ้านได้ดี อีกทั้งช่วยให้อากาศถ่ายเทได้สะดวก             ไม่มีปัญหาเรื่องความอับชื้น และไร้ปัญหาบ้านร้อน
 2. ติดตั้งพัดลมระบายอากาศภายในห้องน้ำ
     โดยแนะนำให้เปิดพัดลมระบายอากาศก่อนอาบน้ำ และหลังจากอาบน้ำเสร็จให้เปิด        ทิ้งไว้ 15 นาที โดยจะช่วยป้องกันความชื้นที่เป็นสาเหตถุของการเกิดเชื้อราดำได้ดี
 3. ปรับอุณหภูมิน้ำให้เย็นลง เพื่อลดไอน้ำในห้องน้ำ
      การอาบน้ำอุ่นเป็นเวลานาน ส่งผลให้เกิดไอน้ำจำนวนมาก เพราะฉะนั้นควนปรับ              อุณหภูมิน้ำให้เย็นลง เพื่อเป็นการลดความชื้นภายในห้องน้ำ
 4. ลดฝ้าบนกระจก
      ควรปรับอุณหภูมิด้านในให้มีความเย็นเท่ากับด้านนอก หรือเปิดหน้าต่างให้ลมเข้า          มาเล็กน้อย เพื่อเป็นการปรับให้อากาศทั้งภายใน และภายนอกมีความสมดุลกัน
 5. วางต้นไม้บริเวณที่เหมาะสม
      ไม่ควรนำต้นไม้มาวางข้างหน้าต่าง เพื่อรับแสงแดด เพราะเนื่องจากใบของต้นไม้จะ
       คายน้ำออกมา ทำให้เกิดความชื้น
 6. เลือกใช้ฉนวนกันความชื้น
      ฉนวนกันความชื้นเป็นตัวช่วยในการไล่ความชื้นภายในบ้านได้อย่างดีเยี่ยม
 7. เลือกใช้เครื่องลดความชื้น
      ถือเป็นวิธีการควบคุมความชื้นภายในบ้านได้อย่างมีประสิทธิภาพที่สุด โดยตัวเครื่อง
      จะแสดงค่าอุณหภูมิและความชื้นผ่านจอแสดงผล
 8. ลดความชื้นด้วยเครื่องปรับอากาศ
      เครื่องปรับอากาศบางรุ่นสามารถควบคุมความชื้นภายในบ้านได้ดี
 9. พัดลมก็สามารถไล่ความชื้นได้เช่นกัน
      พัดลมก็เป็นอีกตัวเลือกที่สามารถช่วยลดความชื้นได้
10.ไล่ความชื้นด้วยพลังงานธรรมชาติ
      แสงแดดถือเป็นพลังงานธรรมชาติ ที่สามารถช่วยลดความชื้นได้ดี